ความต่างที่เหมือนกัน : ชวนรู้จัก 'เพชรธรรมชาติ' และ 'เพชรสังเคราะห์'

ความต่างที่เหมือนกัน : ชวนรู้จัก 'เพชรธรรมชาติ' และ 'เพชรสังเคราะห์'

เพชรเป็นของล้ำค่าจากธรรมชาติ แต่รู้หรือไม่? ในโลกของเพชรยังประกอบไปด้วย 'เพชรธรรมชาติ' และ 'เพชรสังเคราะห์' ที่ถึงจะคล้ายกันแค่ไหนก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง

‘เพชรธรรมชาติ’ และ ‘เพชรสังเคราะห์’ : ความเหมือนที่แตกต่างกัน

เคยสงสัยไหมว่า ‘เพชร’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

เมื่อเจอกับคำถามเช่นนี้ หลายคนคงมักนึกถึงความรู้ที่เคยได้เรียนในวิชาวิทยาศาสตร์มาว่า เพชรเกิดขึ้นจากการแรงดันและความร้อนใต้ผิวโลกจนทำให้คาร์บอนตกผลึกออกมาเป็นหินสีใสเม็ดงามที่ส่องประกายได้ด้วยตัวเอง

แต่อย่างไรก็ดี รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เพชรทุกเม็ดที่จะเป็นเพชรแท้จากธรรมชาติเสมอไป ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด มนุษยชาติจึงได้ให้กำเนิด ‘เพชรสังเคราะห์’ ขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของทุกคนที่ปรารถนาจะครอบครองอัญมณีอย่างเพชรด้วยเช่นกัน แล้วเพชรทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร เพชรสังเคราะห์จะเป็นเพชรเทียมเหมือนที่ใคร ๆ เคยบอกหรือไม่ วันนี้ Marry Me Diamonds มีคำตอบ

‘เพชรธรรมชาติ’ และ ‘เพชรสังเคราะห์’ : ความเหมือนที่แตกต่างกัน - Marry Me Diamonds

รู้จัก ‘เพชรธรรมชาติ’ หรือ ‘Natural Diamond’

เพชรธรรมชาติ (Natural Diamond) หรือที่ใคร ๆ ต่างเรียกว่า ‘เพชรแท้’ นั้นเป็นสสารที่ธรรมชาติสร้างขึ้นที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก แต่กว่าจะเพชรจะมีประกายแสงระยิบระยับให้ได้เห็นเหมือนทุกวันนี้ อัญมณีสุดล้ำค่านี้ก็เป็นเพียงแค่หินธรรมดาเท่านั้น

เพชรธรรมชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หากย้อนไปเมื่อหลายล้านปีก่อน อัญมณีอย่างเพชรเองก็เคยเป็นเพียงหินหนืดหรือแมกมาธรรมดาที่รวมตัวกันอยู่ที่ใต้ผิวโลก ซึ่งเมื่อแมกมาที่อยู่ใต้พื้นผิวโลกลึก 150 - 250 กิโลเมตรได้ถูกกดทับด้วยแรงดันสูงถึง 70,000 กิโลกรัม / ตารางเซนติเมตร ภายใต้อุณหภูมิสูงกว่า 1,700 - 2,500 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานนับพันปี แมกมาเหล่านี้ก็ค่อย ๆ แปรสภาพตัวเองเป็นผนึกคาร์บอนสีใส หรือกลายมาเป็นผนึกเพชร

แต่นี่ก็เป็นเพียงกระบวนการเริ่มต้นเท่านั้น แต่กว่าจะมาเป็นเพชรให้ทุกคนได้ยลโฉมยังจะต้องรอเวลาให้ผนึกเพชรเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกเคลื่อนมาฝังตัวในหิน Peridotite และ หิน Peridotite และถูกดันออกมาที่บริเวณรอยแตกของหินเปลือกโลกด้านบน และเมื่อเย็นตัวลง หินที่มีผนึกเพชรเหล่านี้ก็จะกลายเป็นหิน Kimberlite และถูกแมกมาที่ยังหนืดอยู่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟ จนสุดท้ายเมื่อหินเหล่านี้เย็นตัวลง และถูกความร้อน ลม ความเย็น และฝนกัดกร่อนเป็นเวลานาน จะผนึกเพชรในหิน Kimberlite ก็จะหลุดออกมาและกลายเป็นเพชรที่รอเจียระไนนั่นเอง 

สามารถเจอเพชรธรรมชาติได้จากที่ไหนบ้าง?

ด้วยทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดขึ้นทุกวัน ดังนั้น ยิ่งนานวันเข้า ‘เพชรธรรมชาติ’ ก็ยิ่งขุดพบเจอได้ยากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เหมืองเพชรในประเทศอย่างแคนาดา บราซิล จีน รัสเซีย ออสเตรเลีย ตลอดจนบางประเทศในแถบแอฟริกาอย่างนามิเบีย บอตสวานา แอฟริกาใต้ แองโกลา คองโก รวมถึงซิมบับเวก็ยังสามารถขุดพบเจอเพชรธรรมชาติคุณภาพสูงที่มีขนาดเม็ดที่ใหญ่จำนวนมากอยู่ ซึ่งเพียงแค่เหมือง Premier Mine ในประเทศแอฟริกาใต้เพียงเหมืองเดียวก็สามารถขุดพบเพชรในตำนานอย่าง ‘เพชรคัลลินัน (Cullinan Diamond)’ ที่มีขนาดใหญ่ถึง 3,106 กะรัต ซึ่งถือว่าเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว 

 

แล้ว ‘เพชรสังเคราะห์’ หรือ ‘Lab Diamond’ คืออะไร?

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และมีการขุดพบที่น้อยลงทุกวัน แน่นอนว่าเพชรธรรมชาติจึงมีราคาที่ค่อนข้างสูงมาก ด้วยเหตุนี้ ‘เพชรสังเคราะห์’ หรือ Lab Diamond จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อใช้ผลิตเพชร และรองรับกับความต้องการในตลาด

 

เพชรสังเคราะห์สร้างขึ้นได้อย่างไร?

เพชรสังเคราะห์ถือเป็นอีกหนึ่งประเภท ‘เพชรแท้’ ที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองและได้มีการเปิดเผยสู่สาธารณชนเมื่อปี ค.ศ. 1950 ที่ผ่านมา โดยการจะผลิตเพชรสังเคราะห์นั้น ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ส่วนประกอบทางเคมีอย่างกราไฟต์ โลหะในสภาพของเหลวประเภทต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการใช้ความร้อน 1,400 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดัน 55,000 บรรยากาศ และเมื่อเวลาผ่านไป องค์ประกอบต่าง ๆ ทางเคมีเหล่านี้ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเพชรที่มีองค์ประกอบและลักษณะเหมือนเพชรแท้หรือเพชรธรรมชาติทุกประการ

ในปัจจุบันนี้ เพชรสังเคราะห์สามารถผลิตขึ้นได้ทั้งหมด 2 วิธี คือ High Pressure High Temperature (HPHT) ซึ่งเป็นวิธีจำลองแรงกดดันและอุณหภูมิความร้อนเหมือนการสร้างเพชรตามธรรมชาติเพื่อสังเคราะห์เพชรขึ้นมา และ Chemical Vapor Deposition (CVD) ซึ่งเป็นวิธีการสังเคราะห์เพชรโดยการใช้แก๊สคาร์บอน และทำให้อะตอมของคาร์บอนแตกตัวออกมาเป็นเพชร

 

 ‘เพชรสังเคราะห์’ เป็น ‘เพชรเทียม’ หรือไม่?

หลายคนอาจมองว่า ‘เพชรสังเคราะห์’ เป็นเพชรปลอม เนื่องจากผลิตขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ แต่แท้จริงแล้ว เพชรสังเคราะห์นั้นถือว่าเป็นเพชรแท้ ไม่ใช่เพชรปลอม อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเพชรเทียม หรือ Simulated Diamonds โดยสิ้นเชิง

ในขณะที่เพชรเทียม คือสารสังเคราะห์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะแวววาวคล้ายเพชร แต่ไม่มีองค์ประกอบใด ๆ เหมือนเพชร ซึ่งในบางครั้งอาจมีคุณสมบัติที่แวววาวกว่าเพชร หรือมีความถ่วงจำเพาะที่สูงกว่า หรือหากมองด้วยตาเปล่าก็อาจพบว่าเพชรเทียมนั้นอาจมีความขุ่นมัวมากกว่า และเกิดรอยขีดข่วนได้มากกว่า โดยทั่วไปแล้ว เพชรเทียมนั้นจะประกอบไปด้วย เพชร CZ (Cubic Zirconia) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าเพชรรัสเซีย นอกจากนี้ เพชรเทียมยังประกอบไปด้วย สปิเนล ไพลินสีขาว เพชรโมอิส เพทาย และรูไทล์

ความแตกต่างระหว่าง ‘เพชรธรรมชาติ’ และ ‘เพชรสังเคราะห์’ - Marry Me Diamonds

จะแยกความแตกต่างระหว่าง ‘เพชรธรรมชาติ’ และ ‘เพชรสังเคราะห์’ ได้อย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว เราจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของเพชรทั้ง 2 ประเภทนี้ได้ด้วยตาเปล่า แต่เราสามารถพิจารณาได้จากใบรับรองหรือ Certification ที่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของเพชรได้ 

แต่หากพูดถึงวิธีการตรวจสอบแล้ว ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรระดับสูงในการตรวจสอบด้วย ซึ่งในบางครั้ง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังไม่สามารถบอกถึงลักษณะที่เหมือนกันได้ 100% เช่น ผู้เชี่ยวชาญบางคนอาจบอกว่าเพชรแท้ตามธรรมชาติจะมีหน้าเพชร 8 ด้านเท่านั้น แต่เพชรสังเคราะห์หรือ Lab Diamond เองก็มีหน้าเพชร 6 - 8 ด้านได้เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม หากใช้เครื่องมือตรวจเช็กองค์ประกอบที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพชรก็จะสามารถพบว่า เพชรธรรมชาตินั้นจะมีธาตุไนโตรเจนปะปนอยู่ในตัวเพชรเล็กน้อย ในขณะที่เพชรสังเคราะห์รวมถึงเพชรประเภทอื่น ๆ จะไม่มีธาตุไนโตรเจนอยู่เลย

ควรเลือกซื้อ ‘เพชรธรรมชาติ’ หรือ ‘เพชรสังเคราะห์’ ดี?

เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่า ในฐานะผู้บริโภค เราควรจะเลือกซื้อ ‘เพชรธรรมชาติ’ หรือ ‘เพชรสังเคราะห์’ กันแน่ โดยการจะไขข้อสงสัยดังกล่าวนี้ Marry Me Diamonds อยากขอแนะนำให้ทุกท่านพิจารณาข้อดีและข้อเสียของเพชรทั้ง 2 ประเภทผ่านการเข้าใจ 3 ปัจจัย ดังนี้

ปัจจัย 1: ราคา

ในปัจจุบันนี้ เนื่องจากทรัพยากรเพชรตามธรรมชาตินั้นมีอยู่อย่างจำกัดขึ้นทุกวัน ดังนั้น เพชรธรรมชาติจึงมีราคาที่สูงกว่าเพชรสังเคราะห์ถึง 2 - 3 เท่า หรือคิดเป็น 50% - 60% เลยทีเดียว 

ปัจจัย 2: การลงทุนและราคาซื้อขายในอนาคต

ไม่เพียงแต่จะมีสีสันที่รังสรรค์ขึ้นตามธรรมชาติจนทำให้มีราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่มูลค่าของเพชรธรรมชาตินั้นกลับมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งหากเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ มีความใสมากเพียงใด หรือเป็นเพชรที่มีสีสันที่หายากอย่างเพชรสีฟ้า (Blue Diamond) หรือเพชรสีแดง (Red Diamond) ราคาการซื้อขายในอนาคตก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ดี เพชรสังเคราะห์นั้นไม่เพียงแต่จะมีราคาที่แตกต่างจากเพชรธรรมชาติมากถึง 2 - 3 เท่าเท่านั้น แต่ราคาเพชรจากห้องทดลองนี้ยังมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคตเช่นเดียวกัน

ปัจจัย 3: ความต้องการส่วนตัว

แต่ถึงราคาซื้อและแนวโน้มการลงทุนในอนาคตจะสำคัญเพียงใด แต่การเลือกซื้อเครื่องประดับเพชรสักชิ้นยังต้องพิจารณาถึงความต้องการของผู้บริโภคด้วย 

เพียงเท่านี้ทุกคนก็ทราบแล้วว่า ‘เพชรธรรมชาติ’ และ ‘เพชรสังเคราะห์’ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง Marry Me Diamonds หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกร็ดความรู้เรื่องเพชรที่นำมาฝากนี้จะสามารถช่วยให้ทุกคนได้เลือกเพชรในแบบที่ต้องการได้ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อเพชรแบบไหนก็ตาม อย่าลืมมองหาร้านเพชรที่มีใบรับรอง และ Certification ที่น่าเชื่อถือที่สามารถบอกถึงที่มาเพชรได้อย่างชัดเจนด้วย 

 

หากใครยังไม่แน่ใจ หรือไม่รู้จะเลือกซื้อเพชรอย่างไรให้เข้ากับความต้องการตัวเองมากที่สุด Marry Me Diamonds มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรประสบการณ์กว่า 50 ปีที่สามารถช่วยให้คำปรึกษาและตอบทุกปัญหาคาใจเรื่องเพชรได้อย่างตรงจุดทุกเวลา

Hit enter to search or ESC to close